ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมื่อเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexual tranmitted disease/STDS)มักจะมีความเชื่อว่าเป็นการลงโทษต่อพระเจ้าของผู้ป่วยที่กำลังจะเป็นโรคเหล่านั้นและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์-บางอย่าง เช่น ซิฟิลิส ได้เป็นเครื่องมือในการกล่าวทาง เชื่อชาติ หรือชาติพรรณ หรือกลุ่มในสังคมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นก็ถูกกล่าวอ้างเป็นเครื่องมือในการกล่าวหาและตำหนิ กลุ่มคนหรือสังคมอื่น ผู้ชายเป็นมักเรียกว่าเป็น โรคผู้หญิง และผู้หญิงเป็นมักเรียกว่าโรคผู้ชาย เป็นต้น
ภาวการณ์ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็นสาเหตุที่สำคัญที่จะทำให้มีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ทุพลภาพและอาจตายได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อสุภาพและจิตใจและสุขภาพที่รุนแรงต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กได้ โดยเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้มีจำนวนมากกว่า20 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรักษาให้ยาจุลชีพ ลักษณะของการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นปัญหาทางด้านสาธารณะสุขและสังคม ซึ่งประกอบไปด้วยโรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคซิฟิลิส แผลริมอ่อน กามโรคและต่อมน้ำเหลือง แผลกามโรคที่ขาหนีบ และการติดเชื้อ HIV/AIDS ซึ่งจะกล่าวดังต่อไปนี้
โรคหนองใน (Gonorrhea)
โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ในปี พ.ศ. 2422อัลเบิร์ต นิสเซอร์ ได้ค้นพบเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคนี้ จึงตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติในปี 2425 นิสเซอร์ โกโนเรีย
อาการและอาการแสดง
ฝ่ายชาย หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2-10 วัน จะมีอาการแสบในลำกล้องเวลาถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายปัสสาวะขัด มีหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ในระยะแรกอาจจะแค่ไหลซึมเป็นมูกใส ๆ เล็กน้อยโดยไม่ใช่น้ำปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ แต่ในอีก 12 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นหนองสีเหลืองข้น และจะออกมากคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว ในบางรายอาจมีอาการปวดและบวมของถุงอัณฑะ หรือมีการอักเสบที่หนังหุ้มปลาย องคชาต (พบได้น้อย) ร่วมด้วย (ประมาณ 10% ของฝ่ายชายที่ติดเชื้อหนองในอาจไม่มีอาการเหล่านี้แสดงออกมาเลยก็ได้ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อยู่)ฝ่ายหญิง ในระยะแรก ๆ มักจะไม่มีอาการแสดงออกมา แต่ในระยะต่อมาจะมีอาการตกขาวผิดปกติ เช่น มีปริมาณมากขึ้น เป็นหนองสีเหลืองหรือสีเขียว มีกลิ่นเหม็น ไม่คัน มีอาการขัดเบาและแสบร้อนเมื่อปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่น ปวดท้องน้อย เลือดออกกะปริดกะปรอยในระหว่างรอบเดือน (พบได้น้อย) เป็นต้น ถ้ามีการอักเสบของปีกมดลูก จะทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น ปวด และกดเจ็บตรงท้องน้อยแบบปีกมดลูกอักเสบ (ประมาณ 50% ของฝ่ายหญิงที่ติดเชื้อหนองในอาจไม่มีอาการเหล่านี้แสดงออกมาเลยก็ได้ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อยู่)ทั้งสองเพศ หากติดเชื้อในลำคอ อาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอ เป็นไข้ หากติดเชื้อในทวารหนัก อาจทำให้เกิดอาการปวดหน่วง คัน หรืออาจมีน้ำคล้ายหนองออกมา โดยเฉพาะในขณะขับถ่าย และหากติดเชื้อที่เยื่อบุตา อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด ระคายเคือง และมีหนองไหล อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อในตำแหน่งใด ๆ ก็ตาม อาจไม่มีอาการแสดงออกมาเลยก็ได้ นอกจากอาการที่กล่าวมาแล้วยังอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) บวมและเจ็บด้วย เชื้อนิสเซอร์ โกโนเรีย เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ ตายง่ายในสภาพแวดล้อมที่แห้ง ภายใน 1-2 ชั่วโมง ถ้าในสภาพชื้น อุณหภูมิ 55 เชื้อจะตายภายใน 1 ชั่วโมง ถ้าหากใช้แสงอัลตราไวโอเลตเชื้อจะตายตายภายใน 2-3 นาที
อาการแทรกซ้อนฝ่ายชาย ถ้าไม่ได้รับการักษา อาจมีหนองไหลอยู่ประมาณ 3-4 เดือน และเชื้อหนองในอาจลุกลามเข้าไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ท่อปัสสาวะตีบตันได้อาจทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือเป็นฝีที่ผนังของท่อปัสสาวะ ในบางรายอาจทำให้เกิดการอักเสบของอัณฑะ (อัณฑะปวดบวม และเป็นหนอง) และท่อนำอสุจิ ซึ่งอาจทำให้มีบุตรได้ยากหรือกลายเป็นหมันได้ ถ้าพบในฝ่ายหญิง เชื้อหนองในอาจลุกลามทำให้ต่อมบาร์โทลิน (Bartholine’s gland) ที่แคมใหญ่จนเกิดการอักเสบ หรือเป็นฝีบวมโต หรืออาจทำให้เยื่อบุมดลูกอักเสบ หรือปีกมดลูกอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง เมื่อหายแล้วก็อาจจะทำให้ท่อรังไข่ตีบตัน กลายเป็นหมัน หรือทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ถ้าตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน (ช่องท้องน้อย) ทำให้มีอาการปวดท้อง มีไข้ อาจทำให้เกิดถุงหนองในช่องน้อยที่รักษาหายยาก แล้วอาจทำให้มีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะในช่องท้องน้อยแบบเรื้อรังทั้งสองเพศ เชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือดไปที่ข้อ (หนองในเข้าข้อ) จนทำให้เป็นโรคข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลันจนมีอันตรายต่อชีวิตได้ ซึ่งภาวะนี้เป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก โดยข้อที่พบได้บ่อย คือ ข้อเท้า ข้อเข่า และข้อมือผู้ที่เป็นโรคหนองในจะติดเชื้อเอชไอวี ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่เป็นหนองในนอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พบได้น้อยมาก เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ (Endocarditis) ซึ่งอาจทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว และหัวใจวายตายได้ ในบ้านเราพบหนองในที่ดื้อต่อกลุ่มยาเพนิซิลลิน เรียกว่าเชื้อ PPNG (Penicillinase producing Neisseria gonorrhoeae) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ซูเปอร์โกโนเรีย” ห้ามมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อ (ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ จะต้องใช้ถุงยางอนามัยอย่างเคร่งครัด) และต้องงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 เดือน เพราะแอลกอฮอล์หรือเหล้าจะทำให้หนองไหลมากขึ้น นะนำว่าควรรักษาไปพบแพทย์ ที่เชียวชาญด้านโรคติดต่อ และควรรักษากับแพทย์ท่านนั้นอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาจไม่ปรากฏอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อ ภูมิคุ้มกันและเพศของผู้ติดเชื้อด้วย ร้อยละ50 ของผู้หญิงติดเชื้อจะ ไม่ปรากฏอาการส่วนในของผู้ชายส่วนใหญ่จะปัสวะขัดและมีหนองไหลออกมาจากท่อปัสวะจึงสามารถวินิจฉัยโรคได้ง่าย
การรักษาเบื้องต้น
ในการรักษาโรคหนองใน ยารับประทานหลายตัวสามารถรักษาหนองในแท้ได้ แต่ในทางหนองในทางปฏิบัติจริงเชื้อเหล่านี้ดื้อยา จนไม่อาจใช้เป็นแนวทางรักษาได้ ต้องใช้ยาฉีดอย่าเดียว ดังนั้นถ้ามีเพศสัมพันธ์ แล้วมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคหนองในแท้ อย่ามัวเสียเวลาซื้อยากินเอง มิฉะนั้นมันจะหลบจะคิดว่าหายแล้ว สุดท้ายก็เกิดภาวะแทรกซ้อนจนยากที่จะเยียวยา ถ้าไม่รักษาเชื้ออาจลามลงไปถึงอัณฑะจะทำให้เกินการแสบบวม เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นหมัน หรืออาจลามเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดข้ออักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ หรือแม้แต่เยื้ออุ้มสมองอักเสบบางรายเป็นก้อนหนองที่ปีกหมดลูกก็เคยมีให้เห็น ทำให้ท่อตีบตันอาจจะทำให้ท้องนอกมดลูกตามมาหรืออาจเป็นหมั่นไปเลยก็ได้ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาทางสาธารณะสุขต่อไป
โรคหนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis – NGU)
โรคหนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis – NGU) โดยจะมีอาการที่เกิดคล้ายกัน คือมีอาการของท่อปัสสาวะอักเสบ ถ่ายปัสสาวะขัด มีน้ำไสหรือหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะในบางครั้ง
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ คลามัลเดีย ทราโคดมติส (Chlamydia trachomatis) ร้อยละ 50 ของจำนวนที่เป็นโรคหนองในเทียมทั้งหมดนอกจากนั้นอาจมีเชื้อ ยูรีพลาสมา ยูรีไลติคัม (Ureaplasma urealyticum) แคนดิดา อัลบิแคน (Candia albican) ทริโคโมแนส วาจินาลิส (Trichomanas vaginalis) อะไมโคพลาสมา เจนนิทัลเลียม (Amycoplasma genitalium) โฮมินิส (M.hominis) เฮอร์ปีสื ชิมเพล็ก ไวรัส(Herpes simplex virus)และ เชื้อกลุ่ม สเต็ปโตค๊อกคัส (Streptococcus)หรือ กลุ่มสตาฟิโลค็อกคัส (Staphylococcus)รวมอยู่ด้วย
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัวของหนองในเทียมประมาณ 2-3 สัปดาห์ อาจนานถึง5 สัปดาห์ ผู้ที่ติดเชื้ออาจมีอาการหรือไม่มีอาการก็ได้ บางคนอาจมีปัสสาวะแสบขัดและแสบมีหนองน้ำใสๆไหลออกจาท่อปัสสาวะในผู้หญิงอาจไม่แสดงอาการ มักเป็นปัญหาต่อการป้องกันโรค และในผู้หญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร อาจทำให้ทารกติดเชื้อ คลามัลเดีย ทราโคดมติส (C. trachomatis) ทำให้เยื้อบุตาอักเสบ (neonatal conjunctivitis)หรือปอดอักเสบ (pneumoitis)
การรักษาเบื้องต้น
โรคหนองในเทียมจะต้องพยายามแยกโรคจากโรคหนองใน ซึ่งเป็นการยากถ้าดูจากาการและอาการแสดง เพราะทั้งสองโรคมีอาการคล้ายกันจึงต้องมีการตรวจทางห้องปฏิชีวนะที่สามารถกำหนดเชื้อที่เป้นสาเหตุนั้น คลินดามัยซิน(clindamycin)เซฟดฟซิติน(crfoxitin)เป็นต้น
โรคซิฟิลิส(syphilis)
โรคซิฟิลิส(syphilis) เป็นโรคติดต่อ โรคติดเชื้อ จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Treponema pallidum สามารถอยู่ในเลือดที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสได้ ประมาณ 3-4 วัน เชื้อโรคชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายทาง ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือแผลตามร่างกาย เชื้อโรคจะเข้าสู่กระแสเลือด สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย สามารถติดต่อได้ทางการสัมผัสเชื้อโรคทางการสัมผัสมือ นั่งโถส่วมร่วมกัน ผิวหนังมี่มีแผล และการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก(Placental route)จากมารดาสู่เด็ก
อาการและการแสดง
โรคซิฟิลิสมีระยะการฟักตัวประมาณ 10 วัน ถึง 10 สัปดาห์ เฉลี่ย 3 สัปดาห์ และมีและมีระยะของโรคที่บอกได้ 2 ระยะคือ โรคซิฟิลิสระยะแรก early syphilis และโรคซิฟิลิสระยะหลัง late syphilisดังนี้
1.ระยะแรก
ซิฟิลิสระยะที่หนึ่งหลังจากที่ผ่านการฟักตัวมาแล้ว จะมีอาการตุ่มสีแดงคล้ำบริเวณที่เชื้อเข้าสุ่ร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต่อมาตุ่มแดงจะแตกเป็นแผลแผลเดียวขอบแข็ง ไม่เจ็บมักเรียกว่าแผลริมแข็ง hard chancre ขอบนูนแข้งมีน้ำเหลืองไหลออกมา ซิฟิลิสจำนวนมาก แผลริมแข้งนี้จะหายเองงในช่วงเวลาประมาณ 4-8 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยคิดว่าหายจากโรค
ซิฟิลิสระยะสองผู้ป่วยจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต ปวดตามข้อ จากสาเหตุข้ออักเสบ มีผื่นสีแดงน้ำตาล ตาม มือ เท้าแต่ไม่คัน มีหูดในบริเวณที่อับชื้นของร่างกาย ผื่นสีเทาจะขึ้นบริเวณปาก คอ และปากมดลูก มีอาการผมร่วง มีไข้ คั้นเนื้อคั้นตัว อาการเหล่านี้จะเป็นๆหายๆถ้าตรวจเลือดจะให้ผล VDRL Venereal Diseases Research Laboratory )ระยะนี้เรียกว่าระยะออกดอก เป้นระยะที่มีเชื้อมาก ติดต่อได้ง่าย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะหายไปเอง ร้อยล่ะ 30-40 นอกนั้นจะเข้าสู่ระยะแฝง
ซิฟิลิสระยะแฝงแรกเริ่ม เป็นระยะที่ไม่มีอาการใดๆแต่ผลตรวจเลือด VDRL.ให้ผลบวก ผู้ป่วยบางรายมีอาการทางผิวหนังใน 1-2 ปีต่อมา ทำให้แพร่เชื่อเข้าสู่ผู้อื่นได้อีก
2.โรคซิฟิลิสระยะหลัง late syphilis หรือ Tertiary syphilis
เป็นระยะที่เกิดขึ้นหลังซิฟิลิสระยะที่สอง ประมาณ3-30ปี ยกเว้นผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งจะกินเวลาสั้นกว่า ในระยะนี้จะมีการอักเสบในระบบต่างๆในร่างกายเช่นระบบประสาท ระบบหัวใจและระบบเส้นเลือดซึ่งมักเรียกชื่อตามอาการดังนี้
ซิฟิลิสระยะแฝงช่วงหลัง ผุ้ป่วยไม่มีอาการใดๆแต่ผลตรวจเลือด VDRL.ให้ผลบวก
ซิฟิลิสบีไนน์กัมม่า (binign gumma จะเกิดแผลกัมม่าเป็นเนื้องอกหรือเป็นตุ่ม ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ตายแล้วมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นระยะนี้มักเกิดขึ้น2-10ปีหลังจากการได้รับเชื้ออาการที่ผิวหนังมีลักษณะเป็นตุ่ม หนังฝ่อ เป็นแผลตกสะเก็ดใสเหมือนขี้ผึ้งตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาจพบเป็นตุ่มใต้ผิวหนังที่ไม่รู้สึกเจ็บคอหอยกล่อมเสียง และเยื่อกันจมูก โดยเริ่มเป็นตุ่มแล้วแตกเป็นแผลเรื้อรัง เมือหายแล้วเพดานหรือเยื่อกั้นจมูกทะลุ ลิ้นไก่หายไป กล่องเสียงแคบและเสียงแหบส่วนของอวัยวะภายในต่างๆ เช่นระบบทางเดินอาหาร พบที่กระเพาะอาหารและตับ ระบบทางเดินหายใจพบที่จมูก กล่องเสียง และปอด กระดุก หัวใจและสมอง
ซิฟิลิสของระบบไหลเวียนโลหิต มักเกิดเป้นแผลริมแข็ง ประมาณ 10 ปี อาจมีเส้นเลือดแดงพ่องโตโปร่งพ่อง aneurysm in aorta ลิ้นหัวใจชำรุด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจล้มเหลว
ซิฟิลิสของระบบประสาท มักมีอาการประมาณ 5-35 ปี หลังการติดเชื้อผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา อาการอักเสบอาจปรากฏที่เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มไขสันหลัง หลอดเลือดของสมอง หรือหลอดเลือดของไขสันหลัง ซึ่งพบได้ ร้อยละ 10 ของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา แต่ผลตรวจเลือด VDRL.บวก
ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital sypilis) เกิดจากมารดาที่เป็นซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์ โดยเชื้อที่อยู่ในกระแสเลือดจะผ่านรกเข้าสู่ทารกในครรภ์ โดยเชื้อเข้าสู่ทารก Placenta มักจะพบในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนอาจจะทำให้แท้งหรือตายคลอดได้ ต่อมาจะแตกหรือลองเป้นแผล และมีอาการตับม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองโต ไตอักเสบ กระดูกอักเสบ จมูกหัก เพดานโหว่ ฟันหน้าเว้าบิ่น แก้วตาอักเสบ สมองพิการ และปัญญาเสื่มเป็นต้น
การรักษาเบื้องต้น
สามารถวินิจฉัยได้จากประวัติ และจากอาการและอาการแสดง และการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยการตรวจคัดหลั่งจากแผลโดยมีโรคซิฟิลิสระยะหนึ่ง และระยะที่สอง นอกจากนั้นยังตรวจหาแอนติบอดีโดยวิธีอิมโมโนวิทยา Immunnology เช่นการตรวจหาแอนติบอดี ชนิด reangin ที่ไม่จำเพระด้วยวิธี VDRL Venereal Diseases Research Laboratoryหรือการตวจหาแอนติบอดี ชนิด Treponemal antibody เช่นFlorescent treponemal absorption testและพบแพทย์
โรคแผลริมอ่อน Chancroid
แผลริมอ่อน Chancroid เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างประปราย ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าฮีโมฟิลัส ดูคริอัย Haemophilus Ducreyi สามารถเกิดได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิงและติดต่อกันได้ง่ายมาก ผู้ป่วยจะมีแผลเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ จะมีอาการต่มและแตกภายใน 2-3 วัน กลายเป็นแผลขอบแดง ไม่เรียบ ไม่แข็ง มีหนองสีเหลืองปนเทา เลือดออกง่าย เจ็บมาก มีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมาจะพบต่อมน้ำเหลืองโตที่ขาหนีบ
การรักษาเบื้องต้น
โรคแผลริมอ่อน ให้ไปพบแพทย์ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้ด้วยว่าดูจากอาการ และการแสดงและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้วยการย้อมสีเพื่อตรวจหา เชื้อ ฮีโมฟิลัส ดูคริอัย H. Ducreyi
โรคแผลริมอ่อน สามารถรักษาด้วยยา streptomycin
กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลืองLymphogranuloma Venereum LGV
กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลืองLymphogranuloma Venereum LGV มักพบในเขตร้อนและเขตอบอุ่นเกิดจากเชื้อ คลาไมเดีย แทรคโคมาทีส (Chlamydia trachomatis)โดยจะเข้าสู่ร่างกายทางแผลถลอก และทางเมือกของอวัยวะเพศ แล้วแพร่เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองทางท่อน้ำเหลือง แล้วจะเกิดเป็นฝีรอบๆต่อมน้ำเหลืองจะแตกและเป็นหนอง มีระยะฟักตัว 5-21 วัน
อาการและอาการแสดง
ระยะแรกจะมีจะมีอาการเป็นแผลเล็กๆที่ผิวหนังอวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ จะบวมโต ต่อมาฝีจะแตกมีหนองไหลนอกจากนั้นมีอาการ ไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาแดง และน้ำหนักลด
ระยะหลัง หากไม่ได้รับการรักษาจะมีการอุดตันของท่อน้ำเหลือง มีอาการติดเชื้อลุกลามไปตามส่วนต่างๆ เช่นช่องคลอด สำใส่ใหญ่ส่วนปลาย ผุ้ชายอาจมีอาการบวมโตของอวัยวะเพศ
การรักษาเบื้องต้น
ให้ไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคนี้ ตรวจได้จากอาการและอาการแสดง ห้องตรวจจากห้องปฏิบัติการหาเชื้อ คลาไมเดีย แทรคโคมาทีส (Chlamydia trachomatis)ส่วนการรักษานี้ รักษาได้ดดยการใช้ยาtetracycline หรือ oxytetracycline
แผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ(Grannulema inguinale;Dovovanosis)
แผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ Dovovanosisเป็นโรคติดต่อเรื้อรังพบได้ในเขตประเทศอินเดียละศรีลังกาและพบบ้างในประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศไทยจะพบส่วนน้อย จึงคาดว่าเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก โดยมีอาการเป็นตุ๋มเล็กๆที่ปลายอวัยวะเพศเพศชาย หรือที่เคมอวัยวะเพศหญิง labia มีระยะฝักตัวประมาณ 9-50 วันเมื่อแตกเป็นแผลจะกดไม่เจ็บ ขอบแผลจะหนาสีแดง ต่อมาจะเป็นแผลเรื้อรังที่ก้น ต่อมน้ำเหลืองมักไม่โต
การรักษาเบื้องต้น
เมื่อพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับการรักษาแต่เนิ่นๆที่จะทำให้รักษาควบคุมโรคได้ผลดีกว่า ด้วยการตัดชิ้นเนื้อด้วย ไรท์ สเตน (Wright’s stain) หรือ กิมสา สเตน (Giemsa’s stain) เพื่อหาเชื้อ การรักษามักใช้ยาเตตราซัยคลิน (tetracycline) หรือ อ็อกซีเตตราซัยคลิน (Oxytetracycline) หรือ ตรัยเมทโธรปริม ซัลฟาเมทธอกซาโซล (trimethroprim-sulfamethoxazole) หรือ มิโนซัยคลิน (minocycline) หรือ ด็อกซีซัยคลิน (doxycycline) จนกว่าแผลจะหาย
การติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ HIV Infection and AIDS
เอดส์ AIDS ไม่ใช่โรค แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง คำว่าเอดส์ AIDSย่อมาจากคำว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome หมายถึงอาการภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการเสาะหาติดเชื้อ HIV Human Immunodeficiency Virus กลุ่มอาการเอดส์ดังกล่าว ได้แก่การมรภาวะติดเชื้อฉวยโอกาส มะเร็งหลอดเลือด น้ำหนักลด มักจะเสียชีวิตโดยโรคที่ชกฉวยโอกาส
อาการและอาการแสดงของการการติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์
ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร ภายใน1-6 สัปดาห์ แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดา ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 2-3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมา ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลือง
ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการติดเชื้อราในช่องปากและลำคอ สัมพันธ์กับเอดส์เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก, งูสวัด เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์
อาการสำคัญของผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายได้แก่ น้ำหนักลด ซูบผอมอย่างรวดเร็ว น้ำหนักจะลดลงประมาณ ร้อยละ 60-70 ของน้ำหนักเดิม ซึ่งทำให้มีอาการอ่อนเพลียและมีการติดเชื้อฉวยโอกาส นอกจากนั้นมี คาโปไซ ซาร์โคมา และพยาธิสภาพที่สมอง HIV encephalophathy
การติดต่อและการแพร่กระจาย
โดยหลักการเชื้อ HIV ติดต่อโดยการแรกเปลี่ยนสารคัดหลั่งในร่างกาย Body fluid Exchange โดย
1.การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยทางช่องคลอด ทางทวารหนัก ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ทางปากนั้นพบได้น้อย ทั้งชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคเอดส์ทั้งนั้น ซึ่งมีข้อมูลจากกองระบาดวิทยาระบุว่า ร้อยละ70-75 ของผู้ติดเชื้อเอดส์ รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์
2.การรับเชื้อทางเลือดใช้เข็มฉีดยา หรือกระบอกฉีดยา ร่วมกับผู้ติดเชื้อ เอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด แต่ปัจจุบันเลือดที่ได้รับการบริจาคมา จะถูกนำไปตรวจหาเชื้อเอดส์ก่อน พบว่ามีโอกาส ประมาณ1ใน 50000 ยูนิต ซึ่งพบว่ามีถึงร้อยละ 1
3.ติดต่อผ่านทางมารดาสู่ทารกแรกเกิด เกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอดส์และถ่ายทอดให้ทารก ในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด และภายหลังคลอด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยการทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์เหลือเพียงร้อยละ20-40 โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 30 สามารถผ่านน้ำนมแม่ได้อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการติดเชื้อในทารก ซึ่งมีโอกาสมากถึง ร้อยละ 7-22
ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินของโรค
ผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณร้อยละ 95 จะเป็นเอดส์เต็มตัวภายใน 15 ปี แล้วจะเสียชีวิตภายใน 2-5 ปี ปัจจัยที่ทำให้ผู้ติดเชื้อกลายเป็นเอดส์เต็มขั้นมีดังนี้
1.ระยะเวลาที่ติดเชื้อ พบว่าร้อยละ 20-25 ของผู้ติดเชื้อ จะกลายเป็นเอดส์ภายใน 6 ปี และเพิ่มเป็น ร้อยละ50 ภายในเวลา 10 ปี
2.วิธีติดเชื้อ
3.ปริมาณและสายพันธ์ของเชื้อที่ได้รับ
4.ภาวะภูมิคุ้มกันแต่เดิมและภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
5.สุขภาพจิตและการออกกำลังกาย
6.ส่วนปัจจัยต่างๆเช่นการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การเสพยาเสพติด เป็นต้น
In February 2017, my immune system was not functioning correctly and my primary care physician did a N.A.E.T. Treatment with Laser Acupuncture and Auricular Acupuncture to try to desensitize my body from the different allergies and allergies to the metals. This procedure began to make me drained and very fatigued. He recommended that I have a GI Stool test done as I was having GI issues in February 2017, to check for parasites, pathogens, bacterial flora, and fungi/yeasts. The results showed that I had a Bacterial Pathogen called Salmonella, high amounts of normal bacterial flora, called Enterococcus spp. and Escherichia spp., 2 parasites called Dientamoeba fragilis and Endolimax nana, and 2 types of fungi/yeasts called Candida spp. and Geotrichum spp. The doctor recommended that I take Dr Itua Herbal Medicine to get rid of the Candida as that was the main concern at the time and I did purchase Dr Itua Herbal Medicine and after taking it all as instructed I was totally cured so is a urged form of heart to believe in herbal medicines but yes indeed natural remedies should be recognize around the globe because is the only healing that has no side effect on each every healing, I will recommend anyone here with health challenge to contact Dr Itua Herbal Center on E-Mail drituaherbalcenter@gmail.com / Www.drituaherbalcenter.com he capable of all kind of disease like Cancer,Hiv,Herpes,Kidney disease,Parkinson,ALS,Copd. with a complete cure without coming back.
ตอบลบ