การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว(Temporary contraception)
1. การคุมกำเนิดโดยไม่ใช้อุปกรณ์ (Non-appliance methods) ประกอบด้วย
1.1 การหลั่งน้ำอสุจินอกช่องคลอด (Coital interruption) หรือเรียกกันทั่วไปว่า “หลั่งภายนอก” (withdrawal) หมายถึง “การคุมกำเนิดโดยฝ่ายชายถอนอวัยวะเพศออกจากช่องคลอดก่อนที่จะมีการหลั่งน้ำอสุจิ และให้หลั่งน้ำอสุจิห่างจากบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของฝ่ายหญิงเพื่อมิให้ตัวอสุจิเข้าไปในช่องคลอดได้” (ชวนชม สกนธวัฒน์, 2540) เป็นการร่วมเพศกันตามปกติ จนกระทั่งฝ่ายชายมีความรู้สึกใกล้จะหลั่งน้ำอสุจิ จึงรีบถอยอวัยวะเพศออกจากช่องคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิเปื้อนบริเวณอวัยวะเพศของผู้หญิง
1.2 การกลั้นไม่หลั่งน้ำอสุจิ (Coital reservation) หมายถึงการที่ฝ่ายชายควบคุมตนเองมิให้หลั่งน้ำอสุจิ เมื่อใกล้จะถึงจุดสุดยอดจะต้องค่อย ๆ บังคับตนเอง ให้ความตื่นเต้นทางเพศค่อย ๆ ผ่อนคลายลงจนหมดไป ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ยากและมีโอกาสพลาดสูง
1.3 การให้นมลูกในระยะนาน ๆ (Prolonged lactation) การให้นมบุตรเป็นเวลานานจะทำให้ช่วงเวลาขาดประจำเดือนหลังคลอดบุตร (postpartum amenorrhea) ยาวนานกว่ามารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองในระยะสั้น หรือมารดาที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเลย โดยปกติแล้วการขาดประจำเดือนหลังคลอดมักเกิดร่วมกับการไม่มีไข่ตก (anovulation) เมื่อมีการกระตุ้นโดยการดูดนม ระดับของโปรแลคตินก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงอยู่ตลอดเวลาที่ถูกกระตุ้นโดยการดูดโดยระดับของโปรแลคตินที่สูงจะไปยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างไข่ Folicular Stimulating Hormone (FSH) และฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ Lutinizing Hormone (LH) เมื่อระดับของ FSH และ LH ลดลงจะมีผลทำให้ไม่มีไข่ตกและไม่มีประจำเดือน (กอบจิตต์ ลิมปพยอม, 2528) อย่างไรก็ตามขณะที่ให้นมบุตรนั้นถึงแม้จะไม่มีประจำเดือน แต่ก็อาจมีไข่ตกได้ ฉะนั้น การร่วมเพศในระยะนี้อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้
1.4 การงดร่วมเพศบางช่วงเวลา เป็นการงดร่วมเพศในช่วงเวลาที่จะตั้งครรภ์ได้ (fertile period) หรือวันที่มีการตกไข่ของแต่ละรอบประจำเดือน หลักสำคัญของวิธีการคุมกำเนิดแบบนี้คือการหาวันที่มีการตกไข่ที่แน่นอน ซึ่งหาได้ด้วยกันหลายวิธี คือ การคำนวณระยะปลอดภัยจากบันทึกประวัติประจำเดือน หรือวิธีนับวัน (Calendar method, Calendar rhythm, Ogino-Knaus method) วิธีวัดอุณหภูมิของร่างกายหลังตื่นนอน (Basal body temparature) เรียกว่า Temperature method หรือ Thermal method วิธีสังเกตมูกปากมดลูก (Cervical mucous method, Ovulatory method, Billings method) วิธีการสังเกตอาการและวัดอุณหภูมิ (Sympto-thermal method หรือ STM) วิธีคาดคะเนวันไข่ตก (Predictable ovulation method)
2. การคุมกำเนิดโดยการใช้สิ่งกีดขวาง (Barrier contraceptive methods)
การคุมคุมกำเนิดโดยอาศัยสิ่งกีดขวางหมายถึง การคุมกำเนิดที่ป้องกันการตั้งครรภ์โดยอาศัยอุปกรณ์เครื่องกีดขวางป้องกันไม่ให้อสุจิผ่านเข้าไปในมดลูก ซึ่งอาจใช้ยาฆ่าอสุจิร่วมด้วยก็ได้อาจแบ่งเป็นหลายชนิด เช่น ถุงยางอนามัย ไดอะเฟรม หมวกครอบปากมดลูก ฟองน้ำ ยาฆ่าอสุจิ โดยรวมแล้วประสิทธิภาพการคุมกำเนิดด้วยสิ่งกีดขวางด้อยกว่าการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน หรือห่วงอนามัย
2.1 ถุงยางอนามัย (condom)
ถุงยางอนามัย หรือถุงยางคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบสิ่งกีดขวางที่ได้รับความนิยมสูงสุด หลักในการป้องกันการตั้งครรภ์ก็คือ ใช้ถุงยางอนามัยคลุมอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของเพศชายในระหว่างการร่วมเพศ ป้องกันไม่ให้อสุจิสัมผัสกับช่องคลอดเลย การใช้ยาร่วมกับยาฆ่าเชื้ออสุจิจะเหมาะมากสำหรับช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัยมี 2 ชนิด คือ ถุงยางอนามัยชาย และถุงยางอนามัยหญิง ส่วนใหญ่ทำมาจากยางลาเท็กซ์ หรือทำมาจากลำไส้แกะ (natural skin condom) ถุงยางลาเท็กซ์หนา 0.3-0.6 ม.ม. สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้ง HIV ได้ นอกจากนี้อาจป้องกันหูดหงอนไก่ได้ด้วย
ก. ถุงยางอนามัยชาย (Male Condom)
ถุงยางอนามัยชาย มักถูกเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ ถุงมีชัย sheath, prophylactic, protective, French letter, English cap เป็นต้น
ชนิดของถุงยางอนามัยชาย ขนาดที่ใช้แพร่หลายในประเทศไทย มีรูปร่าง 2 แบบ
1. แบบปลายมีติ่งยื่นออกมาคล้ายหัวนม เพื่อเป็นที่เก็บน้ำอสุจิ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย และถุงยางอนามัยชนิดนี้ยังแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบมีสารช่วยหล่อลื่น ช่วยให้การร่วมเพศได้สะดวก และชนิดที่ไม่มีสารหล่อลื่น ปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้ว
ถุงยางอนามัยหญิงทำด้วยพลาสติกชนิดพิเศษ (Polyurethane) มีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอกปลายมน ขนาดที่เหมาะกับหญิงไทยควรจะมีความยาว 15 เซนติเมตร ปลายเปิดของถุงอนามัยมีห่วงติดเรียกว่า ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ส่วนก้นถุงมีห่วงเรียกว่า ขอบใน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร
2.2 ยาฆ่าอสุจิ (Spermicide) เป็นวิธีคุม กำเนิดแบบชั่วคราววิธีหนึ่ง โดยการใส่ยา/สาร หรือสอดยา/สารนี้ เข้าไปในช่องคลอด ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์เพื่อที่จะไปทำลาย/ฆ่าตัวเชื้ออสุจิ หลังมีเพศสัมพันธ์จากที่มีการหลั่งน้ำอสุจิเข้าไปในช่องคลอด เพื่อฆ่าอสุจิให้ตายอยู่ในช่องคลอด ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่มดลูกได้ จึงไม่มีการผสมกับไข่ (ไม่เกิดการตั้งครรภ์)
วิธีใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ
การใช้ยาหรือสารฆ่าอสุจิจะต้องใส่เข้าไปในช่องคลอดการมีเพศสัมพันธ์เสมอ โดยทั่วไปแล้วจะต้องใส่ยาเข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุดจนถึงบริเวณปากมดลูกก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยากระจายตัวได้ทั่วช่องคลอด ถ้าเป็นพวกฟองฟู่จะกระจายตัวได้เร็วกว่ายาแบบครีมและแบบเหน็บ โดยจะมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ประมาณ 30-60 นาที การใส่ยาครั้งหนึ่งจะสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้สำหรับการร่วมเพศเพียง 1 ครั้งเท่านั้น เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์อ่อนและต้องใช้เวลาในการฆ่าอสุจิ ถ้าหากมีการร่วมเพศซ้ำจะต้องใส่ยาอีกครั้ง และหลังจากร่วมเพศเสร็จใหม่ ๆ ไม่ควรรีบสวนล้างช่องคลอด เพราะน้ำจะไปละลายตัวยาออกมา ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ถ้าต้องการสวนล้างช่องคลอดก็ให้ทำภายหลังการร่วมเพศประมาณ 6-8 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากนี้หลังจากใส่ยาแล้วก็ไม่ควรจะลุก ยืน เดิน หรือไปนั่งถ่ายปัสสาวะ/อุจจาระ จนกว่าจะมีเพศสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาไหลออกมา ดังนั้น ก่อนจะใส่ยาเข้าไปในช่องคลอดทุกครั้ง ก็ควรจะทำอะไรให้เรียบร้อยเสียก่อน
โดยรูปแบบของยาฆ่าอสุจิก็มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน ผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เขียนแนะนำไว้ในฉลากอย่างเคร่งครัด เพราะยาแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการใช้ ขนาดของยาที่ใช้ และระยะเวลาที่ต้องใส่แตกต่างกันออกไป
· ใช้ง่ายสามารถจัดการด้วยตนเองหรือคู่นอนได้ ไม่ต้องอาศัยบุคลากรทางการแพทย์
· ไม่มีผลด้านฮอร์โมนต่อสตรี (อ่านเพิ่มเติมผลของฮอร์โมนคุมกำเนิดได้ในบทความเรื่อง ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด)
· ต้องเสียเวลาในการใส่ยาเข้าไปในช่องคลอด และต้องรอเวลาให้ยาออกฤทธิ์ อาจขัดจัง หวะการมีเพศสัมพันธ์ได้
· ต้องใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
· ยาที่ใส่อาจทำให้รู้สึกเหนียว เหนอะหนะ ทำให้เกิดความรำคาญได้
· ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เกี่ยวการใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ เช่น หลอดฉีดของเหลวเข้าไปในช่องคลอด หลอดฉีดโฟม เป็นต้น
· ทำให้เกิดการติดเชื้อยีสต์ (เชื้อรา)ในช่องคลอดง่ายขึ้น (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง เชื้อราในช่องคลอด)
· มีโอกาสเกิดช่องคลอดอักเสบจากติดเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น ที่เรียกว่า โรค Bacterial Vaginosis มากขึ้น
· มีเพศสัมพันธ์นานๆครั้ง
· อยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถไปรับบริการการวางแผนครอบครัวจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ เช่น การยาฉีดคุมกำเนิดการยาฝังคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
· ผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เอชไอวี (HIV)/โรคเอดส์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
· ผู้ที่ติดเชื้อ เอชไอวี หรือ มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว เนื่องจากสาร/ยาฆ่าอสุจินี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองทั้งที่ผนังช่องคลอดและ/หรือที่อวัยวะเพศของฝ่ายชายได้ หรือทำให้เกิดแผลหรือรอยถลอกได้ ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อหรือติดเชื้อโรคต่างๆ โดย เฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น
· คู่นอนที่มีเพศสัมพันธ์กันบ่อยๆ เพราะการที่ต้องใช้สารฆ่าอสุจิทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ อาจทำให้ไม่สะดวก ประกอบกับประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ต่ำ จึงมีโอกาสตั้ง ครรภ์ได้สูง
ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine device) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ไอยูดี (IUD) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ชิ้นเล็ก ๆ ที่มีไว้สำหรับใส่เข้าไปในโพรงมดลูกของสตรี เพื่อทำให้สภาพในโพรงมดลูกไม่เหมาะแก่การฝังตัวของตัวอ่อน จึงใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ชั่วคราวได้ดี โดยห่วงอนามัยนี้มีการใช้กันตั้งแต่ในสมัยอาณาจักรกรีกโรมัน ห่วงอนามัยชนิดแรกของโลกทำมาจากก้อนกรวดที่ชาวอาหรับและเติร์กใส่เข้าไปในมดลูกของอูฐ เพื่อป้องกันไม่ให้อูฐตั้งท้องขณะเดินทะเลทราย ส่วนห่วงอนามัยในยุคหลังนี้เริ่มมีใช้กันได้ประมาณ 100 ปีแล้วครับ ในระยะแรกห่วงอนามัยจะทำมาจากวัสดุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโลหะ เส้นไหม หรืออื่นๆ ต่อมาได้มีการผลิตเป็นพลาสติกชนิดพิเศษที่นำมาทำเป็นห่วงอนามัยได้ดีและคงสภาพเดิมได้หลังจากยืดออกเป็นเส้นตรงชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงทำให้มีคนประดิษฐ์ห่วงอนามัยออกมาหลายชนิด และบางชนิดก็เลิกใช้กันไปแล้ว
การทำงานของห่วงอนามัย
กลไกการทำงานของห่วงอนามัยคาดว่าเกิดจากการอักเสบเมื่อมีวัสดุแปลกปลอม กล่าวคือ การทำงานของห่วงอนามัยนั้นไม่ใช่การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อนเท่านั้น หากแต่เกิดจากการที่มีวัสดุแปลกปลอม (ห่วงอนามัย) เข้าอยู่ในโพรงมดลูก และทำให้เกิดการกระตุ้นกระบวนการอักเสบภายในร่างกาย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นพิษต่อตัวอสุจิและขัดขวางการฝัง
ตัวของตัวอ่อน นอกจากนี้ในห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมนนั้น จะเป็นการเพิ่มกลไกการหนาตัวของมูกบริเวณปากมดลูกเพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของอสุจิ อสุจิไม่สามารถผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้ ทำให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกบางลงจนไม่เหมาะสำหรับการฝังตัวอ่อน เพิ่มการแสดง glycoderlin A ที่ต่อมบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งช่วยยับยั้งการจับตัวของอสุจิที่ผนังของไข่อีกด้วย และฮอร์โมนโปรเจสตินยังส่งผลต่อการยับยั้งการตกไข่ได้ประมาณ 25% ส่วนห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดงยังมีการปล่อยอนุมูลทองแดงอิสระและเกลือของทองแดง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบต่อเซลล์ในโพรงมดลูก โดยกระตุ้นการสร้าง prostaglandin ซึ่งเป็นพิษต่อตัวอสุจิและไข่ นอกจากนั้นยังขัดขวางการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิอีกด้วย
ผู้ที่ควรใช้ห่วงอนามัย
• มีความต้องการที่จะใช้วิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิสูง และมีความจำเป็นต้องการคุมกำเนิดในระยะ ยาวอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป หรือต้องการเว้นช่วงการมีบุตรมากกว่า 3-5 ปี
• ผู้ที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ
• เป็นผู้มีความเสี่ยงต่ำในการติดต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
• มีความต้องการที่จะกลับมาตั้งครรภ์อีกครั้งเมื่อหยุดใช้ห่วงอนามัย
• ผู้ที่มีข้อห้ามหรือจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดด้วยที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
• ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (อ้วน) เพราะยาฮอร์โมนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ และยัง ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดด้วยยาฮอร์โมนลดลงอีกด้วย
• ผู้ที่ให้นมบุตร
• ผู้ที่มีความจำเป็นอื่น ๆ ที่ต้องใช้ห่วงอนามัยเพื่อการบำบัดรักษา โดยมิได้หวังผลเพื่อการคุมกำเนิด
• มีความจำเป็นต้องเลือกใช้ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดงเพื่อการคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
ผู้ที่ไม่ควรใช้ห่วงอนามัย
• ผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าในขณะนั้นตนตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ เพราะการใส่ห่วงอนามัยแล้วตั้งครรภ์จะมีโอกาส แท้งบุตรสูงมาก
• ผู้ที่มีภูมคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เพราะอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในโพรงมดลูกได้สูง
• เป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะโรคของลิ้นหัวใจ
• มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกหรือทางช่องคลอดกะปริดกะปรอยโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะการ ห่วงอนามัยอาจทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอดได้ ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว ควร ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ให้แน่ชัดก่อน
• เคยมีประวัติการอักเสบในอุ้งเชิงกรานบ่อย ๆ หรือมีการติดเชื้อในอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น ภาวะอุ้ง เชิงกรานอักเสบ, เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ, ปากมดลูกอักเสบเป็นหนอง, วัณโรคในอุ้งเชิงกราน หาก คุณมีการติดเชื้อดังกล่าวควรรักษาให้หายสนิทก่อนอย่างน้อย 3 เดือน แล้วจึงค่อยพิจารณาการใส่ห่วง อนามัย (แนะนำว่าให้ใช้ห่วงอนามัยชนิดเคลือบฮอร์โมนมากกว่าชนิดทองแดง)
• ผู้ที่โพรงมดลูกผิดรูปร่างมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งมักจะเกิดจากความผิดปกติด้านโครงสร้างของโพรงมดลูก เช่น ปากมดลูกตีบ, Bicornuate uterus, กล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อมดลูกที่ทำให้โพรงมดลูกผิดรูปร่าง เพราะปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มความยากหรือเป็นอุปสรรคในการใส่ห่วงอนามัย เพิ่มโอกาสที่ห่วงอนามัย จะหลุด หรือทำให้ไม่สามารถใส่ห่วงให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ (ขนาดความลึกของโพรงมดลูกที่ เหมาะสม คือ 6-9 เซนติเมตร)
• ผู้ที่มีเนื้องอกมดลูก เพราะเนื้องอกอาจส่งผลให้รูปร่างของมดลูกผิดปกติหรือเปลี่ยนแปลงไป
• ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ยังได้รับการบำบัดรักษาอยู่ ไม่ควรใส่ห่วงชนิดเคลือบฮอร์โมน แม้ว่าใน ปัจจุบันจะยังไม่มีรายงานการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้ป่วยที่ใช่ห่วงอนามัยชนิดเคลือบฮอร์โมนก็ตาม อย่างไรก็ตามระดับสาร Levonorgestrel (ฮอร์โมน) ในกระแสเลือดของผู้ที่ใส่ห่วงอนามัยชนิดนี้ก็ยัง ต่ำกว่าการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนรูปแบบอื่น ๆ มาก จึงอาจนำมาใช้ในกรณีจำเป็นได้ (ถ้ามีประวัติ ประจำเดือนมามาก หรือปวดท้องประจำเดือนมาก่อน ไม่ควรเลือกใช้ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดง)
• ผู้ที่มีภาวะแพ้สารทองแดง (Wilson’s disease) ในกรณีที่เลือกใช้ห่วงอนามัยที่หุ้มด้วยทองแดง
ผลข้างเคียงการใส่ห่วงอนามัย
ผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนหลังการใส่ห่วงอนามัย โอกาสที่เกิดขึ้นได้น้อยมากครับ มีบางคนเท่านั้นที่อาจจะมีอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อย เช่น
1. มีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย
2. อาจมีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้น ประจำเดือนมามากกว่าปกติเล็กน้อย
3. มีตกขาวบ้างหรือมีตกขาวมากกว่าปกติ เนื่องจากมีสายห่วงที่อยู่ในช่องคลอด
4. ปวดถ่วงบริเวณท้องน้อยหรือมีอาการปวดหลัง (แก้ไขด้วยการกินยาแก้ปวด)
5. เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานในสตรีที่มีคู่นอนหลายคนหรือในสตรีที่มีภูมิ คุ้มต้านทานโรคบกพร่อง
6. ผลข้างเคียงจากห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมน (Levonorgestrel) ที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ อารมณ์ แปรปรวน เป็นสิว น้ำหนักตัวขึ้น มีภาวะขนดก เจ็บคัดตึงเต้านม (LNg14 จะมีอาการข้างเคียงเหล่านี้ น้อยกว่า LNg20)
ยาเม็ดคุมกำเนิด (Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill)เป็นยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง(เอสโตรเจน/Estrogenและโปรเจสติน/Progestin) มีผลป้องกัน การตั้งครรภ์โดยยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก(เยื่อบุมดลูก) บางตัวมีสภาพไม่พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิจึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ในท่อนำไข่ได้
ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้แพร่หลายมากที่สุดทั่วโลก เนื่องจากหาได้ง่าย ใช้ได้สะดวก มีหลายราคา หลายชนิดให้เลือกใช้ มีอัตราการล้มเหลวจากการใช้ยา (การตั้งครรภ์ ขณะใช้ยา) น้อย
การเริ่มรับประทานยาครั้งแรกควรเริ่มในวันที่ 1 - 5 ของการมีประจำเดือน มีผลในการคุมกำ เนิดได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย และยังลดการเกิดเลือดออกกะปริดกะปรอยระ หว่างรอบเดือน
การเริ่มรับประทานยาหลัง 5 วันแรกของประจำเดือนสามารถทำได้ แต่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเช่น ถุงยางอนามัยอย่างน้อย 7 วันหลังกินยาเม็ดแรก โดยรับประทานยาคุมกำเนิดวันละ 1 เม็ดในเวลาเดิมทุกๆวัน แนะนำให้รับประทานก่อนนอนเพื่อป้องกันการลืม จากนั้นรับประทานเม็ดยาไล่ตามลูกศรจนหมดแผง ในกรณีที่เป็นแผงชนิด 28เม็ดเมื่อหมดแผงสามารถเริ่มแผงใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนหมด ส่วนกรณีแผงชนิด 21 เม็ดให้เว้นระยะ 7 วันจึงเริ่มแผงใหม่ โดยชนิด 28 เม็ดจะประกอบด้วยเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ดและเม็ดแป้งหรือวิตามินอีก 7 เม็ด
ถ้าลืมรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม 1 เม็ด ให้รับประทานทันทีที่นึกได้และรับ ประทานยาเม็ดต่อไปตามปกติ
ถ้าลืมรับประทานยา 2 เม็ด ให้รับประทาน 1 เม็ดทันทีที่นึกได้และรับประทานก่อนนอนตาม ปกติ วันต่อมาให้รับประทานยา 1 เม็ดหลังอาหารเช้า จากนั้นรับประทานตามปกติ
ถ้าลืมรับประทานยา 3 เม็ด ให้ทิ้งยาแผงเดิมแล้วเริ่มรับประทานแผงใหม่ทันที ร่วมกับใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยอีก 7 วัน (ในกรณีที่รับประทานยาคุมชนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ขนาด 20 ไมโครกรัมหรือน้อยกว่า ถ้าลืมในสัปดาห์แรกให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินร่วมด้วย)
ถ้าลืมรับประทานยา 3 เม็ด ให้ทิ้งยาแผงเดิมแล้วเริ่มรับประทานแผงใหม่ทันที ร่วมกับใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยอีก 7 วัน (ในกรณีที่รับประทานยาคุมชนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ขนาด 20 ไมโครกรัมหรือน้อยกว่า ถ้าลืมในสัปดาห์แรกให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินร่วมด้วย)
· หากมีอาการของโรคทางเดินอาหารเช่น ท้องเสีย อาเจียนมาก ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยอีก 7 วันหลังกินยาเม็ดแรกเช่น การใช่ถุงยางอนามัยชาย เนื่องจากมีผลทำให้การดูดซึม ยาไม่ดี
· หากลืมรับประทานยาร่วมกับมีการขาดระดู/ประจำเดือน 1 ครั้ง ควรตรวจการตั้งครรภ์ก่อน เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ หากแน่ใจว่าไม่ลืมรับประทานยาให้เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ได้ตาม ปกติ
· ยาบางชนิดมีผลต่อประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดเช่น ยากันชักบางชนิด ยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะบางชนิด ดังนั้นหากมีโรคประจำตัวหรือต้องรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำควร ปรึกษาแพทย์ในการเลือกวิธีคุมกำเนิด
· คลื่นไส้ อาเจียน มักพบในช่วงที่เริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดใหม่ๆ (โดยเฉพาะ 3 แผงแรก) เมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดไประยะเวลาหนึ่งอาการมักลดลง หากมีอาการมากอาจเปลี่ยนชนิดของฮอร์โมนหรือลดขนาดของฮอร์โมนและการรับประทานยาก่อนนอนสามารถช่วยลดอา การคลื่นไส้อาเจียนได้
· รู้สึกบวม น้ำหนักเพิ่ม เป็นผลจากการที่มีน้ำและเกลือแร่คั่งในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง อาจร่วมกับความรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 กก. ควรหยุดยาเม็ดคุมกำเนิดและปรึกษาแพทย์
· เลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด มักเกิดใน 1 - 3 สัปดาห์แรกของการเริ่มรับ ประทานยา อาจเป็นผลจากการรับประทานยาที่มีปริมาณฮอร์โมนต่ำเกินไป หรือรับประทานไม่ตรงเวลา หรือลืมรับประทานยา หากมีเลือดออกมากหรือนานควรหยุดใช้ยาและรีบปรึกษาแพทย์
· การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทางเพศ บางรายอาจรู้สึกดีขึ้นเนื่องจากหมดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ บางรายอาจมีความรู้สึกทางเพศลดลงเป็นผลจากระดับฮอร์โมนเพศชายลดลง หากอาการเป็นมากควรรีบปรึกษาแพทย์ ข้อห้ามใช้โดยเด็ดขาดของการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเพราะยาจะเพิ่มโอกาสเกิดอาการต่างๆและ/หรือเพิ่มความรุนแรงของอาการคือ
· สูบบุหรี่
· ช่วยลดสิว ขนดก หน้ามัน และอาการในกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ/กลุ่มอาการพีซีโอเอส (PCOS: Polycystic ovarian syndrome)
· ควรรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน หากลืมรับประทานให้ทำตามคำแนะนำข้างต้น
· จดบันทึกประจำเดือนทุกครั้ง หากประจำเดือนขาด 1 ครั้งร่วมกับมีประวัติลืมรับประทานยาควรทดสอบการตั้งครรภ์หากประจำเดือนขาด 2 ครั้งแม้จะไม่ลืมรับประทานยาก็ควรต้องทดสอบการตั้งครรภ์
· ถ้ามีอาการทางระบบทางเดินอาหารเช่น อาเจียนมาก ถ่ายเหลว/ท้องเสีย อาจต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วันหลังกินยาเม็ดแรก
· ควรมีการตรวจภายในร่วมกับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก (การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่) ทุก 1 - 2 ปี
· หากมีอาการผิดปกติเช่น มีฝ้าขึ้นที่ใบหน้า ปวดศีรษะ มีเลือดออกทางช่องคลอดมากควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิดหรือเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
· หากมีอาการผิดปกติรุนแรงเช่น ปวดศีรษะมาก ตาพร่ามัว เจ็บแน่นหน้าอก ปวดบริเวณน่องมาก ควรหยุดใช้ยาทันทีและรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจเป็นอาการของลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดต่างๆ
· หากต้องได้รับการผ่าตัดทุกชนิด ควรแจ้งแพทย์ว่ากำลังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
· เนื่องจากยาเม็ดคุมกำเนิดมีฮอร์โมนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ดังนั้นระหว่างที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจึงไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
· ไม่ควรซื้อยาอื่นๆรับประทานเองเช่น ยาฆ่าเชื้อ/ ยาปฏิชีวนะเนื่องจากมียาบางชนิดรบ กวนการออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง
เมื่อกำลังกินยาเม็ดคุมกำเนิดพบมีอัตราการตั้งครรภ์ 8.7% ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยเช่น การลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดการรับประทานยาไม่ตรงเวลา การมีอาการทางระบบทางเดินอาหารเช่น อาเจียน ท้องเสีย หรือการได้รับยาอื่นๆ ซึ่งรบกวนการออกฤทธิ์ของยาเม็ดคุมกำเนิด
ทั้งนี้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ในขณะรับประทานยาคุมกำเนิดได้โดยรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน หากลืมรับประทานยาควรรีบทำตามคำแนะนำข้างต้น หากมีอาการทางระบบทาง เดินอาหารเช่น อาเจียนหรือท้องเสียมาก ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเช่น ถุงยางอนามัยชายอย่างน้อย 7 วันหลังกินยาเม็ดแรก หากมีอาการไม่สบายซึ่งต้องรับประทานยา ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งโดยแจ้งว่าตนเองกำลังกินยาคุมกำเนิดอยู่
โดยทั่วไปเมื่อแพทย์แนะนำใช้ยาคุมกำเนิด แพทย์มักนัดตรวจเป็นระยะๆ ความถี่ในการนัดตรวจขึ้นกับสุขภาพโดยรวมของหญิงนั้น การเกิดผลข้างเคียงต่างๆจากการใช้ยา และดุลพินิจของแพทย์ แต่ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อ
· หากมีอาการผิดปกติหลังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเช่น ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียนมาก เลือดออกทางช่องคลอดปริมาณมาก
การเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดควรเป็นไปโดยความสมัครใจของผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด โดยประ เมินจากความสะดวกในการเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิด ระยะเวลาที่ต้องการคุมกำเนิด ผลข้างเคียงต่างๆ ข้อห้ามในการใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีต่างๆ โดยยาเม็ดคุมกำเนิดเหมาะในผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดชั่วคราว ระยะเวลาไม่กี่ปี (น้อยกว่า 5 ปี) มีการวางแผนต้องการบุตรเพิ่มอีกในอนาคต (การวาง แผนครอบครัว) ไม่มีข้อห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และสามารถรับประทานยาได้ตามเวลาทุกวัน
ในปัจจุบันยาเม็ดคุมกำเนิดมีหลายชนิด โดยชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีประสิทธิ ภาพในการคุมกำเนิดดีคือยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ส่วนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว ควรใช้ในสตรีที่ให้นมบุตรและสตรีที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
สำหรับยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ควรใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน เนื่องจากมีผลข้างเคียงมากและ อัตราการล้มเหลว (การตั้งครรภ์) สูง
ยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดในท้องตลาดมีหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างในเรื่องของชนิดฮอร์โมน ปริมาณฮอร์โมน ผลข้างเคียงที่ดีเช่น การลดการเกิดสิว ผิวมัน ขนดก ลดอาการในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ซึ่งผู้ที่ต้องการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถเลือกซื้อได้ตามความต้องการ ตามกำลังการซื้อ และตามผลข้างเคียงที่ต้องการ โดยอาจปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนการเลือกยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิด
การเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดควรทดลองใช้ 1 แผงก่อน โดยทดลองรับประทานและสังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเช่น เป็นฝ้า ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หากมีอาการข้างเคียงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่เป็นฮอร์โมนต่างชนิดหรือเพื่อลดปริมาณฮอร์ โมนในตัวยา
แพทย์มีวิธีเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดโดยพิจารณาจากความต้องการของผู้มารับบริการคุมกำ เนิด พิจารณาว่าไม่มีข้อห้ามในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด อาการต่างๆที่เกิดร่วมของผู้มารับบริการ เช่น มีอาการในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน มีสิวมาก ผิวมัน ขนดก จากนั้นสังเกตดูรูปร่างของผู้มารับบริการ
1. สตรีที่มีประจำเดือนปริมาณมากและนาน รอบประจำเดือนสั้น ไม่มีสิวหรือขนตามตัว มักเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินสูง
2. สตรีที่มีปริมาณประจำเดือนมาน้อย รอบประจำเดือนยาว ลักษณะคล้ายเพศชาย มีสิวขนดก ผิวมัน มักเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
3. สตรีที่มีระดู/ประจำเดือนสม่ำเสมอ ปริมาณปานกลาง น้ำหนักตัวปกติ มักใช้ยาเม็ดคุม กำเนิดชนิดที่มีความสมดุลกันทั้ง 2 ฮอร์โมน
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียวเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่ไม่มีฮอร์ โมนเอสโตรเจนมีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสติน วัตถุประสงค์เพื่อลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกข้นเหนียว รวมทั้งทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
ข้อดีของยา คือ สามารถใช้ในสตรีให้นมบุตรได้ โดยไม่มีผลต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำนม และสามารถใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ข้อเสียของยา คือ มีอัตราการล้มเหลว/การตั้งครรภ์ขณะใช้ยาสูงกว่าชนิดฮอร์โมนรวม ต้องรับประทานให้ตรงเวลา การเริ่มรับประทานยาให้เริ่มรับประทานในวันแรกของการมีประจำเดือน โดยรับประทานยาวันละ 1 เม็ดในเวลาเดิมทุกวัน ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยใน 7 วันแรกหลังกินยาเม็ดแรก เมื่อยาคุมกำเนิดหมดแผงให้เริ่มรับประทานยาแผงใหม่ต่อในวันถัดไปโดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนมา
ถ้าลืมรับประทานยา 1 เม็ด ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ และรับประทานยาเม็ดต่อไปตาม ปกติร่วมกับใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 48 ชม.หลังกินยาเม็ดแรก
ถ้าลืมรับประทานยา 2 เม็ดติดต่อกัน ให้รับประทานยาวันละ 2 เม็ดเป็นเวลา 2 วัน โดยใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยอย่างน้อย 2 วันหลังกินยาเม็ดแรก
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินในขนาดสูง มีผลป้องกันหรือเลื่อนเวลาการตกไข่ ป้องกันการปฏิสนธิของไข่และอสุจิ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะในการฝังตัวของตัวอ่อน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกรณีที่ถูกข่มขืน หรือลืมคุมกำเนิด หรือคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น การฉีกขาดของถุงยางอนามัยชาย แต่เนื่องด้วยมีปริมาณของฮอร์โมนสูง ทำให้ไม่เหมาะสมในการใช้เป็นยาคุมกำเนิดทั่วไปเพราะมีผลข้างเคียงสูง (เช่น การมีเลือดออกทางช่องคลอดผิด ปกติ) มีอัตราการล้มเหลว/การตั้งครรภ์สูงกว่ายาคุมกำเนิดทั่วไป ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยมีชื่อทางการค้าว่า Postinor และ Madonna
การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานยาทั้งหมดรวม 2 เม็ด โดย 1 เม็ดแรกรับประทานทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์แต่ทั้งนี้ไม่ควรเกิน 72 - 120 ชม.หลังมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นรับประทานยาอีก 1 เม็ดอีก 12 ชม.ถัดมา
หากประจำเดือนขาดหลังใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน ควรทดสอบการตั้งครรภ์เนื่องจากมีอัตราการล้มเหลว/การตั้งครรภ์สูงกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไป
5. ฮอร์โมนคุมกําเนิดที่ออกฤทธิ์ระยะยาว
1.1ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable contraceptive) คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวแบบหนึ่ง โดยจะเป็นการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อของสตรีในระยะเวลาตามที่แพทย์กำหนด หลังจากฉีดตัวยาจะค่อย ๆ ขับฮอร์โมนออกมา เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากในรายที่ต้องการเว้นระยะการมีบุตร เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง ทำได้ง่าย สะดวก และมีราคาถูก
การฉีดยาคุมกําเนิด เริ่มมีครั้งแรกทางภาคเหนือในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 ต่อมาได้มีการศึกษาและทดลองใช้ จึงได้พบว่ามีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยาฉีดที่ใช้อดีตและยังใช้กันมากในปัจจุบันคือ Depot medroxyprogesterone acetate (DMPA) โดยใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก ๆ 3 เดือน นอกจากจะช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยานี้ยังมีฤทธิ์ทำให้รอบเดือนเปลี่ยนแปลง มาไม่ตรงเวลา อาจมีประจำเดือนน้อย กะปริดกะปรอย หรือประจำเดือนไม่มา เป็นต้น
ชนิดของยาฉีดคุมกำนิด
• ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งเป็นยาฉีดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงอย่างเดียว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย ดังนี้
ยา Depot Medroxyprogesterone acetate (DMPA) ขนาด 150 มิลลิกรัม เป็นตัวยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน มีชื่อทางการค้าว่า Depo-Provera® (ยี่ห้ออื่นก็มีครับ) ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก ๆ 3 เดือน (12 สัปดาห์ หรือ 84 วัน) เลยได้ไม่เกิน 5 วัน หลังจากฉีด DMPA จะสามารถตรวจพบได้ในกระแสเลือดภายใน 30 วินาที ระดับฮอร์โมนไม่สะสมในร่างกาย เมื่อเข้าไปในกระแสเลือดจะออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมายโดยตรง และจะออกฤทธิ์คุมกำเนิดภายใน 24 ชั่วโมง
ยา Norethisterone Enanthate (NET-EN) ขนาด 200 มิลลิกรัม มีชื่อทางการค้าว่า Noristerat® ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก ๆ 2 เดือน (8 สัปดาห์) หลังฉีดตัวยาจะเข้าไปอยู่ในไขมันทั่วร่างกาย แล้วกระจายเข้าสู่กระแสเลือด ระดับของฮอร์โมนจะลดลงเร็ว ฮอร์โมนนี้เมื่อเข้าในกระแสเลือดจะต้องถูกเปลี่ยนที่ตับให้เป็น Norethisterone ก่อนจึงจะออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมายได้ โดยการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนตัวยาจะถูกดูดซึมได้เร็วกว่าและระดับฮอร์โมนจะสูงกว่าการฉีดเข้ากล้ามบริเวณสะโพก
• ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เป็นยาฉีดคุมกำเนิดแบบใหม่ที่ผลิตมาเพื่อลดอาการผิดปกติของประจำเดือน ในยาฉีดจะมีทั้งฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) และฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ชนิดนี้มีชื่อทางการค้าว่า Cyclofem® และLunelle™ ยาฉีดจะประกอบไปด้วยตัวยา Medroxyprogesterone acetate 25 มิลลิกรัม และ Estradiol cypionate 5 มิลลิกรัม และอีกยี่ห้อคือ Mesigyna® จะประกอบไปด้วยยา Norethisterone Enanthate (NET-EN) ขนาด 50 มิลลิกรัม และ Estradial valerate 5 มิลลิกรัม แต่โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะใช้ Cyclofem® มากกว่าครับยี่ห้ออื่นครับ
โดยยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวและเพื่อเป็นการเลียนแบบฮอร์โมนของร่างกาย ทำให้มีประจำเดือนมาทุกเดือน ช่วยให้เกิดการสร้างเยื่อบุมดลูกขึ้น ช่วยลดภาวะเลือดประจำเดือนออกผิดปกติ และทำให้สามารถตั้งครรภ์ได้เร็วขึ้นหลังจากหยุดใช้ยา แต่ต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นประจำทุก ๆ 1 เดือน (4 สัปดาห์) ซึ่งจากการศึกษาผลพบว่าผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดชนิดนี้จะมีอัตราการเลิกใช้ยาในช่วงแรกน้อยกว่าชนิดแรก เนื่องจากปัญหาประจำเดือนขาด ไม่มีประจำเดือน เลือดออกกะปริดกะปรอยเกิดได้น้อยกว่า แต่ทั้งนี้ผู้ที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมจะใช้ยาต่อเนื่องได้มานานเท้าชนิดฮอร์โมนเดียว ด้วยสาเหตุอาการข้างเคียงอย่างอื่น เช่น มีน้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดศีรษะ ฯลฯ
การออกฤทธิ์ของยาฉีดคุมกำเนิด
ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) จะเป็นตัวยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่มีไข่มารอปฏิสนธิ นอกจากนั้นยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวไม่เหมาะสมแก่การฝังตัวของไข่ และทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเหนียวข้น ส่งผลให้ตัวอสุจิไม่สามารถว่ายผ่านเข้าไปผสมกับได้ (ผ่านเข้าไปได้ยาก) จึงสามารถช่วยคุมกำเนิดได้
ผู้ที่เหมาะจะฉีดยาคุมกำเนิด
• สตรีที่ต้องการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย
• สตรีที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ ต้องการความสะดวก ไม่ต้องการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเดิมทุก ๆ วัน
• สตรีหลังคลอดที่กำลังให้นมบุตร (ต้องเป็นยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว)
• สตรีที่มีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ
• สตรีที่สูบบุหรี่
ผู้ที่ไม่เหมาะจะฉีดยาคุมกำเนิด
• ปกติแล้วจะไม่แนะนำให้ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดเป็นทางเลือกแรกของสตรีที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรือสตรีที่มีอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป เพราะยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (โปรเจสติน) จะมีผลต่อความหนาแน่นของกระดูก
• สงสัยว่าตัวเองตั้งครรภ์หรือกำลังตั้งครรภ์
• มีความดันโลหิตสูงเกิน 160/100 มม.ปรอท
• เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้
• เป็นโรคมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์หรือเกี่ยวกับเจริญพันธุ์ เช่น มะเร็งเต้านม หรือเคยเป็นมะเร็งเต้านมเกินกว่า 5 ปี
• เป็นโรคของหลอดเลือด โรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด
• เป็นโรคไมเกรนที่มี Aura (อาการที่เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น เห็นแสงวาบ เห็นจุดดำ ๆ หรือรู้สึกซ่าบริเวณใบหน้าและมือ)
• มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
• เป็นโรคไต โรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
• เป็นโรคเลือดออกง่ายและหยุดยาก
• มีภาวะกระดูกพรุน ไม่ควรใช้ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (โปรเจสติน)
• มีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
• สตรีที่อ้วนมากเกินไป
ประโยชน์ของการฉีดยาคุมกำเนิด
• ลดอาการเครียดก่อนมีประจำเดือน
• ลดอุบัติการณ์ของภาวะโลหิตจาง
• ลดภาวะซีดและอาการปวดประจำเดือน เนื่องจากทำให้ไม่มีประจำเดือนหรือประจำเดือนมาน้อย
• ลดโอกาสในการเกิดการตั้งครรภ์หรือท้องมดลูกได้ เพราะโอกาสในการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานมีน้อยลง
• ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เนื่องจากยาฉีดคุมกำเนิดจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงและไม่มีการแบ่งเซลล์
• ลดโอกาสการติดเชื้อหรือเกิดการอักเสบของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เนื่องจากปากมดลูกเหนียวข้นจะข่วยป้องกันเชื้อต่าง ๆ ไม่ให้ผ่านเข้าไปในมดลูกได้
• ช่วยป้องกันอุบัติการณ์เกิดเนื้องอกมดลูก
• ลดอุบัติการณ์เกิดซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts)
• ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่
• ลดอุบัติการณ์เกิดเชื้อรา
• DMPA สามารถช่วยป้องกัน Sickle cell crisis ได้
• ช่วยลดจำนวนความถี่ของการชัก
• ใช้รักษาภาวะผิดปกติและโรคทางนรีเวชได้ เช่น endometriosis, endometrial hyperplasia, precocious puberty และถ้าใช้หลังหมดระดูจะช่วยลดอาการ vasomotor symptoms (กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ อาการที่พบได้แก่ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน)
ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด
• อาการข้างเคียงของการฉีดยาคุมกำเนิดในชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Noristerat®, Depo-Provera®) มีดังนี้
1. ประจำเดือนเปลี่ยนแปลง หลังจากฉีดยาคุมกำเนิดอาจมีเลือดออกคล้ายประจำเดือน ในบางรายอาจมีเลือดออกแบบกะปริดกะปรอย ออกบ้างหยุดบ้าง หรือออกทั้งเดือนก็มี ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่พบได้บ่อย แต่จะเกิดขึ้นเมื่อฉีดยาเข็มแรก ๆ แล้วต่อไปจะมีเลือดออกแบบกะปริดกะปรอยน้อยลงและเว้นระยะเวลานานขึ้น จนกลายเป็นไม่มีประจำเดือน หรือในบางรายฉีดยาไปแล้วประจำเดือนอาจขาดไปเลยก็มี แต่ไม่มีอันตรายอย่างใดครับ แถมยังช่วยป้องกันโรคเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็กได้อีกด้วย (ประจำเดือนไม่มา ไม่ได้หมายความว่าจะมีเลือดคั่งคางอยู่ในร่างกาย เพราะเลือดเสียในร่างกายจะถูกขับออกทางตับและน้ำดีที่ออกมากับอุจจาระและปัสสาวะ) แต่ถ้าอยากให้เลือดออกกะปริดกะปรอยหยุดไหลหรือประจำเดือนไม่มานาน ๆ และอยากให้ประจำเดือนมาก็ไปหาหมอได้เลยครับ เพราะจะมีตัวยาที่กินแล้วจะช่วยให้ประจำเดือนหยุดไหลหรอมาได้
2. การหลั่งน้ำนมแม่ ผู้ฉีดยาคุมกำเนิดจะมีปริมาณน้ำนมแม่มากกว่าปกติ (ไม่ได้เพิ่มมากนัก) แต่ส่วนประกอบของสารอาหารในน้ำนมแม่ยังคงเป็นปกติ แม้ว่ายาที่ฉีดเข้าไปจะถูกขับออกมาทางน้ำนมได้ แต่ก็มีจำนวนน้อยจนไม่เกิดผลเสียต่อลูกน้อยแต่อย่างใด
3. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่กลัวอ้วน ไม่แนะนำให้ใช้วิธีฉีดยาคุมกำเนิด เพราะจากผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดจำนวน 3 ใน 5 รายมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 1-5 กิโลกรัมต่อปี) อีก 1 รายมีน้ำหนักคงที่ ส่วนอีกรายน้ำหนักลดลง แต่จริง ๆ แล้วอาหารก็มีส่วนเยอะครับ จะโทษแต่ยาฉีดคุมกำเนิดอย่างเดียวก็คงไม่ได้ ถ้าควบคุมอาหารได้ก็ไม่ต้องกังวลอะไรครับ ถ้าใช้ไปแล้วน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 กิโลกรัมหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แพทย์อาจแนะนำให้หยุดใช้ยาแล้วเปลี่ยนไปใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นแทน
4. ผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย การฉีดยาคุมกำเนิดอาจทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือด การทำงานของตับ และระบบการเผาผลาญสารอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามถ้าเป็นโรคในระบบเหล่านี้อยู่ก็ควรไปปรึกษาหมอก่อนจะฉีดยาคุมกำเนิด หรือในขณะที่ฉีดอยู่แล้วถ้าเป็นก็ควรบอกให้หมอทราบด้วย
5. ภาวะกระดูกบาง เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสตินจะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงและมีผลทำให้มวลกระดูก ความหนาแน่นของกระดูกลดลง แต่จะเป็นผลแบบชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหยุดฉีดยาคุมชนิดนี้แล้ว ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะกลับคืนมาปกติ แต่จากการศึกษาและการรวบรวมรายงานของสุรศักดิ์ ฐานีพานิชกสกุล ไม่พบความแตกต่างระหว่างความแน่นของกระดูกในกลุ่มผู้ฉีดยาคุมกำเนิดนานกว่า 3 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งผลการศึกษานี้แตกต่างจากการศึกษาในสตรีจากนิวซีแลนด์ ที่พบว่าความหนาแน่นของกระดูกลดลง เมื่อใช้ยาฉีดนานกว่า 5 ปี
6. อาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น อาจมีการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ มึนงง ใจสั่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิด อ่อนเพลีย อึดอัดในท้อง ปวดท้อง แต่อาการเหล่านี้ยังไม่แน่นอนครับ เพราะอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้
• อาการข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Cyclofem®) ที่อาจพบได้คือ อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เป็นฝ้า จุดด่างดำ มีอาการคัดตึงหน้าอกหรือเต้านม
ข้อดีของการฉีดยาคุมกำเนิด
1. สามารถรับบริการได้ง่าย เนื่องจากวิธีการและอุปกรณ์สำหรับการให้บริการไม่ยุ่งยาก เลือกให้บริการแก่สตรีทั่วไปได้อย่างกว้างขวาง เพราะยาฉีดมีข้อห้ามในการใช้ยาน้อย
2. มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก (มากกว่าหรือเทียบเท่ากับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด)
3. ราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธีคุมกำเนิดแบบอื่น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือ การใส่ห่วงอนามัย
4. ให้ความสะดวก ใช้งานง่าย ฉีดครั้งเดียวก็สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 3 เดือน โดยไม่ต้องใช้ทุกวันเหมือนยาเม็ดคุมกำเนิด
5. ไม่ขัดขวางขั้นตอนต่าง ๆ ของการร่วมเพศ
6. สามารถใช้ได้ดีในขณะให้นมลูก เพราะไม่ทำให้น้ำนมแห้ง
7. การไม่มีประจำเดือนภายหลังการฉีดมีผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
8. มีผลพลอยได้ทางด้านสุขภาพอื่น ๆ หลายอย่างตามที่กล่าวมา
ข้อเสียของยาฉีดคุมกำเนิด
1. จะต้องเสียเวลาไปสถานที่รับบริการบ้างและอาจทำให้ลืมเวลานัดได้
2. ต้องให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นคนฉีดยาให้
3. ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
4. ประจำเดือนอาจเปลี่ยนแปลง มาไม่สม่ำเสมอ มากะปริดกะปรอย หรือไม่มีประจำเดือน และหลาย ๆ รายอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
5. เนื่องจากการที่มีเลือดออกแบบกะปริดกะปรอย (ในช่วงแรกของการฉีด หรืออาจจะหลายเดือน) จึงทำให้ต้องใส่ผ้าอนามัยอยู่ตลอดเวลา จะไม่ใส่ก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งก็มาโดยไม่ได้นัดแนะ ปัญหาที่ตามมาก็คือทำให้เกิดความอับชื้น มีตกขาว เป็นต้น
6. เมื่อเกิดอาการข้างเคียงจะต้องรอจนกว่ายาคุมจะหมดฤทธิ์ อาการถึงจะหายไปเอง
7. เมื่อหยุดฉีดร่างกายจะยังไม่พร้อมมีลูกได้ทันที (มีลูกได้ช้ากว่าการคุมกำเนิดแบบอื่น) โดยอาจจะต้องรอไปเกือบ 1 ปี ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าการฉีดยานาน ๆ จะทำให้เป็นหมัน เรื่องนี้ไม่จริงครับ แต่อาจจะทำให้มีลูกได้ช้าไปไม่ทันใจ
ยาฝังคุมกำเนิดหรือ ยาคุมกำเนิดแบบฝัง(Contraceptive implant หรือ Implantable contraception) คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง โดยเป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็ก ๆ ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด ซึ่งฮอร์โมนจะค่อย ๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกายและไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้
การออกฤทธิ์ของยาฝังคุมกำเนิด
ยาฝังคุมกําเนิด ประกอบไปด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงชนิดเดียว จึงทำให้ไม่มีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เหมือนกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด (ฮอร์โมนรวม) โดยฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจากแท่งยาฝังคุมกำเนิดจะมีผลทำให้ฟองไข่ไม่พัฒนา จึงไม่สามารถโตต่อไปจนตกไข่ได้ เมื่อไม่มีไข่ที่จะรอผสมกับเชื้ออสุจิ จึงไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ฮอร์โมนโปรเจสตินที่ปล่อยออกมายังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวจ้น ส่งผลให้เชื้ออสุจิว่ายผ่านเข้าไปยาก จึงช่วยลดโอกาสเกิดการผสมกับไข่ได้อีกทางหนึ่ง โดยยาฝังคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ดังนี้
• Implanon® (ฝัง 1 แท่ง คุมกำเนิด 3 ปี) จะเป็นฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม แท่งยาฝังจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 70-60 ไมโครกรัม
• Jadelle® (ฝัง 2 แท่ง คุมกำเนิด 5 ปี) จะเป็นฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มิลลิกรัม ที่ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 100-40 ไมโครกรัม ซึ่งระดับฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจะสูงในช่วง ๆ แรก แล้วจะค่อย ๆ ลดลงจนคงที่ระยะเวลาต่อมา
ประสิทธิภาพของยาฝังคุมกำเนิด
ถ้าจะบอกว่า “ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงสุด” ก็คงจะไม่ผิด เพราะมีโอกาสล้มเหล้วทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้น้อยมากรองจาก “การไม่มีเพศสัมพันธ์” เท่านั้น !! โดยจะมีโอกาสล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียง 0.05% (1 ใน 2,000 คน) ถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า แล้วการทำหมัน การฉีดยาคุมกำเนิด รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัย รวมถึงการสวมถุงยางอนามัยล่ะ ไม่ใช่วิธีการคุมกำเนิดที่มีอัตราการล้มเหลวต่ำที่สุดหรือ ? ขอตอบเลยว่า “ยังไม่ใช่” ครับ
ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฝังคุมกำเนิด
• ผู้ที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ หรือเป็นคนขี้ลืม
• ต้องการวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว (ต้องการคุมกำเนิดในระยะเวลา 3-5 ปีขึ้นไป)
• ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น เช่น สตรีที่อยู่ในช่วงกำลังให้นมบุตร (สามารถใช้ได้ถ้าทารกอายุมากกว่า 6 สัปดาห์)
ผู้ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำเนิด
• สงสัยว่าตั้งครรภ์หรือยังไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่
• ไม่ชอบการฉีดยาหรือไม่ต้องการให้สิ่งใดมาฝังอยู่ใต้ผิวหนัง หรือกังวลเรื่องการมีประจำเดือนผิดปกติ
• มีปฏิกิริยาไวต่อส่วนประกอบของแท่งบรรจุฮอร์โมน
• ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือตามอวัยวะเพศต่าง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เลือดออกได้มากขึ้น
• มีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจไปรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดที่มีหน้าที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวในภาวะเลือดออกได้
• ผู้ที่สงสัยหรือเป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งเต้านม หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลุกลามแพร่กระจายได้
• ผู้ที่เป็นโรคตับ เนื่องจากผลข้างเคียงของยาฝังอาจส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเพิ่มขึ้นได้
• มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน หรือมีเนื้องอกที่สัมพันธ์กับการใช้โปรเจสโตเจน
• ส่วนข้อมูลจาก siamhealth.net ระบุว่าผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคลมชัก โรคถุงน้ำดี ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำเนิด
หมายเหตุ : ควรขอคำแนะนำจากแพทย์จะดีที่สุด
ประโยชน์ของยาฝังคุมกำเนิด
• ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
• ช่วยลดโอกาสการเกิดอาการซีดจากการมีประจำเดือนมามากผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการหนาตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก
• ช่วยป้องกันการหนาตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
ผลข้างเคียงของการฝังคุมยาคุมกำเนิด
• ในระยะเวลา 2-3 เดือนแรก ประจำเดือนอาจมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมาแบบกะปริดกะปรอย หรือตกขาวมาก ซึ่งเป็นอาการพบได้มากที่สุด แต่ก็พบได้ไม่มากครับ หรือในบางรายประจำเดือนมามากติดต่อกันหลายวัน ไม่มีประจำเดือน หรือประจำเดือนขาดไปเลยก็มีครับ บางครั้งก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน 0.05 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด ประมาณ 7-10 วัน เพื่อช่วยลดอาการเลือดออกกะปริดกะปรอย
• บางรายอาจมีอาการปวดท้องน้อยและปวดประจำเดือนบ้างในระยะ 2-3 เดือนแรก
• ในระยะแรกอาจมีอาการปวดแขนบริเวณที่ฝังแท่งยาคุมกำเนิด
• แผลที่ฝังยาคุมกำเนิดอาจเกิดการอักเสบหรือมีรอยแผลเป็นได้
• มีอารมณ์แปรปรวน
• มีอาการปวดหรือเจ็บเต้านม
• บางรายอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (แต่ปัจจัยหลักคืออาหารครับ ถ้าควบคุมอาหารได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร)
• อาจทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
• หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น จะมีโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ
• ส่วนข้อมูลจาก siamhealth.net ระบุว่ามีผลข้างเคียงทำให้เป็นสิว ขนดก และมีความต้องการทางเพศลดลง (ข้อมูลอื่นไม่ได้ระบุไว้)
ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด
1. ประสิทธิภาพภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก (สูงที่สุดในโลก) รองจากการไม่มีเพศสัมพันธ์ ชนิดที่ว่ายาเม็ดคุมกำเนิดก็เทียบไม่ติด !!
2. เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี (แล้วแต่ชนิดของยา)
3. ไม่ต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวัน จึงช่วยลดโอกาสการลืมกินยา หรือลดโอกาสฉีดยาคลุมคลาดเคลื่อนไม่ต้องกำหนด ที่ต้องไปฉีดยาทุก ๆ 1-3 เดือน
4. เนื่องจากยาฉีดคุมกำเนิดมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ไม่ได้รับผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเหมือนการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เป็นฝ้า ฯลฯ
5. สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตรหรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
6. ใช้ได้ดีในผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะไม่มีผลต่อการหลั่งของน้ำนม
7. ไม่ทำให้การทำงานของตับเปลี่ยนแปลง
8. หลังจากถอดออกจะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด เนื่องจากฮอร์โมนกระจายออกในปริมาณน้อยและไม่มีการสะสมในร่างกาย
9. มีผลพลอยได้จากการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ทำให้อาการปวดประจำเดือนมีน้อยลง, ลดโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูก, ป้องกันการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, ลดอุบัติการณ์ของภาวะโลหิตจาง ฯลฯ
ข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด
1. การฝังและการถอดจะต้องทำโดยแพทย์ที่ได้รับการอบรมแล้ว (ไม่สามารถถอดหรือฝังโดยแพทย์ทั่วไปได้) จึงไม่สามารถใช้หรือถอดได้เอง
2. ในบางรายสามารถคลำแท่งยาในบริเวณท้องแขนได้
3. ประจำเดือนอาจมาแบบกะปริดกะปรอย จึงทำให้ต้องใส่ผ้าอนามัยอยู่เสมอ จะไม่ใส่ก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งหลาย ๆ กังวลกับปัญหาเหล่านี้ (แต่เมื่อผ่านระยะหนึ่งปีขึ้นไปแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะน้อยลง)
4. อาจพบภาวะแทรกซ้อนหลังการฝังยาคุมกำเนิดได้ เช่น มีก้อนเลือดคั่งบริเวณที่กรีดผิวหนัง
5. อาจพบว่าตำแหน่งของแท่งยาเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม (พบได้น้อย)
วงแหวนคุมกำเนิด
วงแหวนคุมกําเนิดหรือ วงแหวนช่องคลอด (Birth Control Ring) คือ วงแหวนสำหรับใส่ช่องคลอดที่เรียกว่า “นูวาริง” (NuvaRing®) มีลักษณะเป็นแหวนพลาสติกขนาดเท่ากำไลข้อมือ มีขนาดเส้นกลางศูนย์กลางประมาณ 5.5 เซนติเมตร (มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 54 มิลลิเมตร และมีความหนา 4 มิลลิเมตร) ผลิตมากจากวัสดุที่เรียกว่า “เอธิลีนไวนิลอะซิเตทโคโพลิเมอร์” ซึ่งผิวมีลีกษณะเรียบ โปร่งใส ไม่มีสี ตัววงแหวนนุ่มและยืดหยุ่น ไม่ละลายในร่างกาย ภายในวงแหวนพลาสติกจะบรรจุไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนคล้ายกับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมที่เราใช้กันอยู่ โดยจะประกอบไปด้วย Etonogestrel (โปรเตสโตเจน) 11.7 มิลลิกรัม และ Ethinyl estradiol (เอสโตรเจน) 2.7 มิลลิกรัม โดยมีไว้ใช้สำหรับใส่เข้าไปในช่องคลอดและฮอร์โมนจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเพื่อช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งในปัจจุบันในบ้านเราเริ่มมีใช้กันแล้วนะครับ
การทำงานของวงแหวนคุมกำเนิด
วงแหวนคุมกำเนิดจะใช้สำหรับใส่เอาไว้ในช่องคลอดเดือนละ 3 สัปดาห์ หรือ 21 วัน (ใส่วงแหวนวันแรกที่มีประจำเดือน) หลังจากใส่เข้าไปแล้ว ฮอร์โมน Etonogestrel (โปรเตสโตเจน) และ Ethinyl estradiol (เอสโตรเจน) ที่มีอยู่ในวงแหวนจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทันที โดยจะปล่อยฮอร์โมนออกมาในปริมาณต่ำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ (ปล่อยฮอร์โมน Etonogestrel วันละ 0.12 มิลลิกรัม และปล่อย Ethinyl Estradiol วันละ 0.015 มิลลิกรัม) ซึ่งฮอร์โมนที่ถูกปล่อยออกมานั้นจะไปยับยั้งรังไข่ในการปล่อยไข่ออกมาแต่ละเดือน จึงทำให้ไม่เกิดการตั้งครรภ์ พอครบ 21 วันแล้วก็ถอดออกมา 7 วันเพื่อเป็นการพักร่างกาย (หลังจากถอดแหวนคุมกำเนิดออกประมาณ 2-3 วัน ประจำเดือนก็จะเริ่มมา แต่มาไม่มากหรือเพียงบางเบา) เมื่อครบเจ็ดวันแล้วจะต้องใส่วงแหวนเข้าไปในช่องคลอดใหม่ จนครบ 21 วัน แล้วก็ถอดออกเว้นไปอีก 7 วัน แล้วจึงค่อยใส่วงแหวนเข้าไปใหม่
ผู้ที่เหมาะจะใช้วงแหวนคุมกำเนิด
• เหมาะสำหรับผู้หญิงทุกคนที่ต้องการความสะดวกในการคุมกำเนิด หรือมักลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำ และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแทนการใส่ห่วงคุมกำเนิดหรือใช้ยาฝังคุมกำเนิด
ผู้ที่ไม่ควรใช้วงแหวนคุมกำเนิด
• ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองตั้งครรภ์ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้
• ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนบางประเภท, มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดอักเสบ มีเลือดอุดตันที่ขา รวมถึงเส้นเลือดในสมองแตก หรือหัวใจวาย, โรคตับหรือตับทำงานผิดปกติ, เป็นมะเร็งเต้านม, มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ที่มีพยาธิสภาพทางการแพทย์บางประการซึ่งจำกัดให้ไม่สามารถใส่วงแหวนคุมกำเนิดได้ รวมไปถึงผู้ที่ให้นมทารกที่ต่ำกว่า 6 เดือน
• นอกจากนี้ตัวยาบางชนิดอาจเป็นตัวยับยั้งประสิทธิภาพการทำงานของวนแหวนคุมกำเนิดได้ อย่างไรก็ตามคุณควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนว่าการใช้วงแหวนคุมกำเนิดมีอันตรายหรือไม่ เพราะแพทย์เท่านั้นที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องก่อนที่คุณจะตัดสินใจ
ผลข้างเคียงของวงแหวนคุมกำเนิด
• ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะรู้สึกเป็นปกติหลังจากใช้วงแหวนคุมกำเนิด แต่ในบางรายก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ เช่นอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกเจ็บเต้านม เป็นต้น แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองหลังจาก 1-2 เดือน ส่วนผลข้างเคียงรุนแรงเนื่องจากการใส่วงแหวนช่องคลอดมักจะไม่ค่อยมี อย่างไรก็ตามคุณควรปรึกษาแพทย์ทันทีหากมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น
ข้อดีของวงแหวนคุมกำเนิด
1. เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
2. เหมาะสำหรับผู้หญิงทุกคนที่ต้องการคามสะดวกในการคุมกำเนิด หรือมักลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำ
3. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมน เนื่องจากตัววงแหวนจะค่อย ๆ ปลดปล่อยฮอร์โมนออกมาในระดับต่ำและคงที่ จึงช่วยลดอาการข้างเคียงต่าง ๆ จากฮอร์โมนได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย ช่วยลดสิว ลดหน้ามัน ลดขนดก และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวแต่อย่างใด
4. สวมใส่และถอดออกได้ง่ายด้วยตัวเอง (คล้ายกับการเหน็บยาในช่องคลอด)
5. ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
6. สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ โดยไม่มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ หรือทำให้เกิดการระคายเคืองหรือมีผลข้างเคียงใด ๆ ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง (ไม่ทำให้เกิดการตกขาวหรือติดเชื้อในช่องคลอด แต่จะทำให้สภาวะแวดล้อมในช่องคลอดเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อช่องคลอด จึงทำให้ช่องคลอดไม่แห้ง การตกขาวติดเชื้อจึงเกิดได้น้อยลง)
7. เป็นการดูดซึมฮอร์โมนเฉพาะที่ จึงไม่รบกวนระบบการทำงานของร่างกายทั้งหมด ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
8. ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ณ ขณะนี้ยอดขายวงแหวนคุมกำเนิดใน USA เพิ่มขึ้นสูงมากมาก เพราะมีผลสำรวจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่พบว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้มีความง่ายต่อการใส่และถอดออก และไม่มีผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ และผู้หญิงมากกว่า 97% ยังรู้สึกพึงพอใจมากับการใช้วงแหวนคุมกำเนิดนี้ด้วย
ข้อเสียของวงแหวนคุมกำเนิด
1. แม้ในปัจจุบันวงแหวนคุมกำเนิดจะมีขายตามร้านขายยาก็ตาม แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้ใบสั่งของแพทย์ในการซื้อ
2. ในครั้งแรกที่ใส่วงแหวนคุมกำเนิด จะยังไม่สามารถคุมกำเนิดได้ทันที จำเป็นต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย
3. ในบางรายใส่แล้วอาจเกิดการระคายเคืองช่องคลอด ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสการติดเชื้อในช่องคลอดและทำให้มีตกขาวมากขึ้นได้
4. ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
อ้างอิง : FAMILY PLANNING NSW. “ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง”. [ออนไลน์]. www.fpnsw.org.au. [09 ต.ค. 2015].
(นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ). “การฉีดยาคุมกำเนิด”. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkokhealth.com. [08 ต.ค. 2015].
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิร). “การฉีดยาคุมกำเนิด”. [ออนไลน์]. haamor.com. [08 ต.ค. 2015].
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น